top of page

HHLiked

5 hrs · 

พูดคุยกับ PLERNPANPERTH /////////// 
----------------------------------------------------------------------------
เราสัมภาษ PLERNPANPERTH ผ่าน Message ในFacebook เพื่อทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นอีกนิด .............

HH: พีชช่วยเล่าหน่อยได้ไหมครับ ว่าเริ่มทำดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่
P: ถ้าเริ่มทำจริงๆ น่าจะตอนมัธยม เอาโปรแกรมที่ใช้ทำแท็บกีตาร์ ที่เรียกว่าโปรแกรม Power Tab หรือ Guitar Pro มาทำแล้วเรียบเรียงออกมาเป็นดนตรีง่ายๆ หลังๆถึงเริ่มอัดเสียงตัวเองหรือกีตาร์เข้าไป ด้วยโปรแกรม Cubase กับซาวด์การ์ดคอมเลย วินโดว์ XP 555

HH: ตอนนั้นนี้คือมีวงยังครับ
P: ตอนนั้นเล่นกีตาร์กับวงเพื่อนที่เป็นแนวเมทั่ล แต่ไอ้ที่ทำในคอมนี่ผมทำของผมเอง แต่เพลงที่ทำนี่ ไม่ใช่เมทั่ลเลย เป็นแนวเด็กน้อย

HH: คืออย่างนี้พีชคิดว่า การเล่นเป็นวงกับการทำเพลงคนเดียวมันต่างกันไหม อย่างไร
P: ค่อนข้างต่าง คือโดยปรกติผมมักจะเริ่มจากทำเพลงมาคนเดียวก่อน บางเพลงก็คิดเองเออเองจบเองไปเลย บางเพลงอาจจะถาม หรือขอความช่วยเหลือคนอื่นมาช่วยฟัง ช่วยอัดบางอย่างให้ แต่พอทำเป็นวง มันจะมีคนที่เราต้องปักหลักอยู่ด้วยยาวๆ และต้องเกรดกัน ให้รู้สึกต่างคนต่างโอเคประมาณนึงก่อนค่อยปล่อยเพลงไป ซึ่งความเป็นอิสระ และความเอาแต่ใจของตัวเองก็จะมีให้กับงานแบบวงน้อยกว่างานที่เราทำของเราเอง

HH: คืออย่างนี้พีชชอบ การทำงานเดี่ยวหรืองานที่เป็นวงมากกว่าครับ
P: เช่น ทำวง ถ้าเราคิดลายนี้มาอีกคนไม่ชอบเลย เราก็ต้องคุยกันว่าเออเราจะเอาลายนี้ออก ลดลง หรือยังไง หรือถ้าอีกคนมีลายดนตรีที่เราไม่ชอบ อะไรแบบนี้มันก็ต้องยอมที่จะให้มาอยู่ตรงกลาง เอียงนิดๆหน่อยๆได้ มันจะมีความอึดอัดบางอย่างเหมือนกัน แต่ทำงานที่เรารู้ว่าอันนี้ออกเดี่ยวเราจะไม่คิดเรื่องตรงนั้นมาก ถ้าคนอื่นไม่ชอบอันนี้เราก็ยังเอาไว้ได้ เพราะ อีกคนไม่ได้เป็นคนในวงเราอะไรแบบนั้น
P: เอาตรงๆคือชอบ ชอบการทำงานคนเดียวมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเกลียดการทำวง ไม่งั้นคงไม่ทำอยู่ตอนนี้ 555 แต่ทำงานเดี่ยว เราไม่ต้องไปปักหลักกับใคร จะไปแจมกับคนนั้นคนนี้เราก็ตัดสินใจเอง เหมือนเราเป็นโปรดิวส์ผู้กำกับ คนเดียวไปเลย

HH: คือมีอยู่ช่วงนึงที่พีชหยุดจากวงจริญ คือช่วงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงอะไรในการทำเพลงไหม ครับ
P: ในแรกเริ่มเพลงเวอร์ชั่นสตูดิโอของจริญ มันเป็นงานที่ผมอัดเสร็จก่อนแล้วเรียบร้อยพวกเพลงที่ปล่อยออกไป แล้วผมชวนกล้วยมาเล่นวงด้วยกันเป็นคนแรก 
P: ยกตัวอย่างเช่น เพลงความรู้รอบตัวมันเป็นเพลงที่ผมอัดที่บ้าน ลายเบส คีบอร์ด ซินธ์ ขลุ่ย หรืออะไรต่างๆ คือใช้โปรแกรมเขียน ส่วนกีตาร์ มีตวนที่ทำวง The Orange Rolls ตอนนั้นมาช่วยอัดกีตาร์ท่อนโซโล่ให้ แต่พาร์ทของวง ที่มีกล้วย มีแมน มีปุณคือทำให้การแสดงสดมันมีชีวิตที่แตกต่างออกไปจากสตูดิโอเวอชั่น ส่วนช่วงท้ายก่อนที่จะพักจริญไป

HH: ยังไงครับช่วงท้าย
P: คือจริงๆ ผมเห็นว่าจริญจริงๆแล้วแต่ละคนก็มีแนวทางความชอบที่ค่อนข้างแตกต่างกันประมาณหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับร่วมกันไม่ได้เสียทีเดียวแต่ มันมีความไม่สบายใจบางอย่าง เวลาที่เราเล่นด้วยกันแล้วมันมีรสนิยมในความอยากได้ยินเสียงแบบหนึ่ง ในเพลงต่างกันประมาณหนึ่ง ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการพักวงไปด้วย

HH: อ้อครับ
HH: แล้วพอหลังจากพักวง พีชมีความคิดยังไงต่อ เพลงที่จะทำครับ คือผมไม่แน่ใจว่ามันมีผลต่อการทำเพลงใหม่ๆไหม
P: ผลลัพธ์ที่แน่นอนเลยคือช่วงที่เล่นกับสมาชิกในวงจริญที่ผ่านมาโดยตลอดมันได้พบปะผู้คนมากขึ้นเห็นอะไรต่างๆมากขึ้น และตั้งคำถามกับตัวเองและสิ่งที่อยู่รอบๆตัวมากขึ้น ทำให้ผมน่าจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งต่างๆเหล่านั้นมาด้วยเช่นการได้พบปะ กับเพื่อนใหม่ๆทั้งในแวดวงดนตรี ศิลปะแขนงอื่นๆ ทำให้รู้สึกว่าการทำงานสร้างสรรค์มันมีหนทางที่เป็นไปได้ มากมายเลย แต่เพียงแต่ว่าต้องเลือกที่แมทช์กับตัวเอง

HH: แล้วเราเลือกที่จะแมทช์มันยังไงครับ หลังจากนั้น
P: คือเราเริ่มรู้แล้วว่าตัวเอง ไม่ได้ชอบทำเพลงกับคนกลุ่มเดิมหรือคนเดิมไปตลอด และยิ่งมากคน และทัศนคติไม่จูนกันเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผมอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ในการทำงาน คราวนี้มันก็มาสู่ลาลากับเพลินแพนเพิธที่เป็นเหมือนการทดลองกับตัวเองอีกครั้ง

HH: ทดลองยังไงครับ
P: คือลาลา ก่อนเป็นลาลา มันเป็นโปรเจคที่อยากจะชวนเพื่อนในแวดวงดนตรี ที่มีความน่าสนใจมาเล่นด้วยกัน ร่วมกันคิดเพลง แจมร่วมกันหลายๆคนแล้วเล่นด้วยกัน ชวนเป็นสิบคน แต่ผลสุดท้ายมาซ้อมได้แต่ละครั้งส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ผม กับไปป์ และเพื่อนอีกแค่คนเดียวหรือสองคนในกลุ่มนั้น แล้วก็อัดๆที่เล่นด้นสดด้วยกันในห้องซ้อมเก็บไว้

HH: คืออยากให้ลองเล่าวิธีที่พีชทดลองกับวงLALAหน่อยครับ พอดีเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างครับ
P: และก็เอามาลองเลือกแต่ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นเพราะเวลาของแต่ละคนยากมากๆที่จะตรงกัน และดูเหมือนบางคนก็อาจจะเริ่มมึนว่าสุดท้ายแล้วจะเอามาทำเพลงยังไง เลยกลายเป็นว่าผมเลยตัดปัญหาเรื่องคนเยอะ และปัญหาเรื่องเวลาของแต่ละคนต่างๆออกและมาลงเอยว่าผมจะทำโปรเจคนี้กับไอไปป์เป็นหลักแล้วกันในฐานะที่เป็นเพื่อนเก่าและได้เจอกันมานาน และได้ซ้อมด้วยกันตอนนั้นบ่อยที่สุด
P: ไอ้ที่อัดๆแจมกันไว้กับเพื่อนคนอื่นทั้งเพื่อนที่เล่นกลอง คีบอร์ด กีตาร์ อะไรต่างๆก็มาเลือกกันหลักๆจะทำกับไอไปป์สองคนแทน เกิดเป็นลาลา ที่เพลงไหน ที่แจมกับคนนี้ในห้องซ้อมก็จะชวนคนนั้นมาช่วยเดเวลอปหรืออัดเครื่องนั้นๆในเพลง ที่มีซ๊อส มาจากตัวที่ตัดจากที่แจมไว้ มาช่วยกันทำเป็นเพลงๆไป

HH: คือแต่ละเพลงก็จะมีคนแต่งหลายคนใช่ไหมครับ โดยมี พีช กับไปป์เป็นคนเลือกทั้งหมด แล้วเอามายำกัน
HH: อย่างงั้นตอนเล่นสดก็จะมีคนมาแจมกันเยอะสิครับ ท่าแต่ละคนร่วมทำเพลงด้วยกัน
P:คือ ลาลา มันจะมีลักษณะสมการประมาณว่าผม+ไปป์+(เพื่อนคนอื่นที่แจม) เอาไฟล์อัดที่ด้นสดมาตัดๆคัดๆ แล้วเลือกเพลงมาขึ้นทำกัน
หลักๆคือ ในการเรียบเรียง ผมจะขึ้นโครงจากคลิปสั้นๆ ที่เล่นด้นสดในห้องซ้อมที่แจมกับคนนั้นคนนี้ ตั้งแต่ช่วยปลายปี 2014 ที่เลือกๆกันไว้ แล้วก็ลองส่งไปมากับไปป์ทำไปเรื่อยๆ จนแต่ละเพลงเสร็จ ซึ่งบางเพลงอาจจะมีเพื่อนคนอื่นมาช่วยดูกลอง ดูเบส หรืออัดเบสให้ อย่างเช่นนิว วงสวีตแอนโรล,ชาร์คบอยอไลฟ์ ผมก็ชวนมาช่วยอัดเบสเพลงที่ อาจจะดึงคลิปมากจากที่แจมด้วยกันตอนนู้น อะไรอย่างนี้ด้วยครับ
P: เวลาเล่นสดครั้งแรกสุดเลยงาน a part of me, a part of you 2 ของพี่ตั้มชวนกันมาเล่นเกือบหมดบนเวที แต่สุดท้ายมันก็มีปัญหาในระยะยาว เพราะ ว่ามันเกิดจากว่า มันไม่ใช่วง ที่เหมือนปรกติที่อยู่ด้วยกันซ้อมด้วยกันเล่นด้วยกันมาตลอด และหลังจากนั้น หลายๆงานคนนี้ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง ก็เลยมาลงเอยกันว่า ทำให้ tour member มีสมาชิกหลักๆ 3 คนแล้วกันมีผม ไปป์ และคนเล่นกลอง ซึ่งหลักๆจะเป็นขุนมาเล่นกลองให้ในปัจจุบัน 
P: คือลาลามันไม่ได้เป็นการมาซ้อมกันก่อนให้แน่นแล้วไปอัดกัน
P: แต่เหมือนเรามาช่วยคิดช่วยอัดกันเลย ซึ่งมันมีโครงที่ผมทำไว้แล้วและมีไปป์ก็เติมบางอย่างลงไปด้วย สุดท้ายแล้วเล่นสดกันสามคน โดยใช้อะไรสดๆอย่างเสียงร้องกีตาร์โปร่ง เปอคัสชั่น กลองชุด และเปิดส่วนที่เราเล่นไม่ได้จากคอมพิวเตอร์เอา สบายใจกว่า รู้สึกผ่อนคลายกว่าตอนเล่น ก็เอาตามนั้น

HH: คือผมลองตั้งขอสังเกตุเป็นไปได้ไหมครับที่พีชใช้วิธีนี้เพราะไม่อยากให้ มันมีการ ถกเถียงด้วยเรื่องแนวเพลง หลังจากที่หยุดจากจริญ คือเป็นการแจมกัน แทนที่จะเป็นการคิดเพลงร่วมกัน หรือพีชคิดยังไงครับ
P: สุดท้าย พอทำเพลงออกมามันก็อาจจะมีกลิ่นของแนวเพลงบางอย่างออกมาจนได้ จากการที่เราฟังหรือเราเล่นโดยไม่ตั้งใจออกมา แต่ผมจะไม่ไปตั้งเป้าว่าจะทำเพลงแนวนี้ออกมาในการเริ่มทำเพลง
P: เหมือนเด็กคนนึงเดินเข้าไปสนามเด็กเล่น โดยไม่ได้คิดว่าจะตั้งใจไปเล่นอะไรเป็นพิเศษแล้วก็เล่นอันนั้นอย่างเดียว พอเดินเข้าไปผมก็รู้สึกว่าเล่นชิงช้าอาจจะสนุกดี แต่ไปเล่นม้าโยกก็อาจจะสนุกไปอีกแบบ หรือเล่นยิงปืนกับตัวเองคนเดียวก็ได้
P: อันนี้เหมือนงานเดี่ยว 555

HH: แล้วตอนไหนครับที่พีชเริ่มกลับมาทำงานเดี่ยวอีกครั้งนึง
P: จริงๆ มันเป็นช่วงที่ซ้อนกับก่อนจะพักวงจริญด้วย เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าเรา มีคอม มีเครื่องดนตรี เราก็ทำเลยแล้วกันไม่อยากรอใครละ กูจะทำละ คล้ายๆตอนที่เพลงของจริญมันยังไม่เป็น วงจริญ และก่อนหน้าจริญผมก็มีวงเหมือนกันเป็นป๊อปเด็กน้อย ทำในคอมมาก่อนเหมือนกัน แล้วแม่งก็เข้าอีหรอบเดิมว่าผมแม่งมาทำเพลงจนเสร็จแล้วก็ชวนคนนั้นคนนี้มาเล่นด้วย ซึ่ง พอเล่นสด มันก็ไม่เหมือนเพลงที่ทำมาเท่าไหร่ เพราะเราทำมาจนเสร็จแล้ว แล้วไปเล่นกับคนอื่น ที่ไม่ได้ทำเพลงนั้นกับเรามาแต่แรก

HH: คือเพราะพีชคิดว่ายังไงมันก็ต้องเป็นวงใช่ไหมครับ คือตอนนั้นทำเสียงอะไรมาพีชคิดว่ามันต้องมีคนมาเล่นด้วยไหมครับ
P: ไม่เลย 55555 แต่ก็อยากเล่นสดแล้วมีคนมาเล่นให้มันดูมีชีวิต ซึ่งกลายเป็นว่าบางคนเขาก็ต้องมาฝืนเล่นลายที่ผมคิดมา แล้วบางทีผมก็มีลายแบบที่ผมคิดไว้แล้วในหัว แล้วสุดท้ายยังไงๆเขาก็เล่นออกมาแบบที่ผมทำเลยไม่ได้ เพราะ ไม่ได้รู้สึกร่วมกับการที่จะต้องมาเล่นลายนั้นขนาดนั้น หรืออาจไม่เป็นตัวเอง
P: ผมอาจจะชอบทำเพลงเหมือนพวกคนทำเพลงอิเล็กโทรนิกส์เดี่ยวๆมากกว่า แต่เพลงผมมันไม่ได้เป็น อิเล็กโทรนิกส์ ซะทีเดียว

HH: คือมันเลยทำให้เราต้องมีทางเลือกที่ทำเพลงเองหลอครับ
P: คืออย่างงานเดี่ยว ผมจะทำคนเดียวหรือจะไปแจมกับคนอื่น หรือปรึกษาใครก็ได้ และจบที่ผมเองได้เลย
P: คือผมกับไปป์เนี่ยสุดท้ายแล้วลาลา มันอาจจะมีอัลบั้มยาวเต็มๆ อันเดียวก็ได้ ก็ยังไม่รู้ เพราะผมกะไปป์ก็มี แพชชั่นในงานเดี่ยวเหมือนกัน

HH: แล้วผลตอบรับเพลงที่ทำคนเดียวเป็นยังไงครับ
P: มันป๊อปน้อยกว่าโดยตัวเพลงขอมันอยู่แล้ว ซึ่งก็มีคนรู้จักน้อยกว่าลาลา แต่สำหรับผม ผมค่อนข้างรู้สึกสนใจในงานเดี่ยวมากกว่า 555 เพราะมันไม่ค่อยมีใครรู้จักนี่แหละ
P: คือผมต้องการขยายงานเดี่ยวออกไป ให้มันอาจจะไม่ใช่แค่ทำเพลงอย่างเดียวด้วย อาจจะมีงานลักษณะอื่นเช่นงานเขียนหรืองานศิลปะรูปแบบอื่น ผสมกับการทำเพลง ซึ่งลาลามันค่อนข้างเป็นอะไรแบบนักดนตรีทำเพลงอยู่มากกว่า แต่งานเดี่ยวผมจะทำแบบเด็กน้อยในสนามเด็กเล่นมากกว่า

HH: พอยกตัวอย่างได้ไหมครับ เช่นเพลงที่ทำอะครับ

P: ทีว่าผสมงานแบบอื่นเข้าไปด้วยน่าจะเป็นอัลบั้มที่กำลังจะทำอยู่ในปัจจุบันครับ
แต่ถ้าที่ปล่อยไปอย่าง Hidden Home
เช่น เพลงแรกของอัลบั้ม hidden home ของ PLERNPANPERTH เลยเพลง Love from The North East มันก็มาจากการเล่นกีตาร์เกาๆวนเป็นคอร์ดสองคอร์ดเป็นทางแจ๊สหน่อย แล้วมีแคนของเล่นอยู่อันนึงก็เอามาลองๆเป่าดัดเสียงในโปรแกรมดู แล้วก็ลองร้องๆ คึดฮอดเจ้าหลายแบบภาษาภูไทเข้าไป ซึ่งช่วงนั้นกำลังเห่อเรื่องที่ผมฟังจากย่า ยายผม ซึ่งมีโคตรเหง้าทางสกลนคร ที่เป็นถื่นของคนภูไทด้วย
P: คือจะบอกว่ามันจะมีเรื่องส่วนตัวมากกว่าการทำวงด้วย
P: อัลบั้มถัดไปที่จะทำที่ว่าจะผสมงานเขียนอาจจะมีเรื่องสั้นที่เชื่อมโยงกับเพลงอะไรแบบนั้นด้วยกำลังหาที่ลงตัวอยู่ครับ
แต่ก็เริ่มทำไปบ้างแล้ว
P: คือพอทำวง มันจะมีความคิดว่าอยากให้คนอื่นอินกับเราด้วยผมก็จะไม่กล้าใส่เรื่องส่วนตัวตรงๆเข้าไปมากนัก แต่งานเดี่ยวมันจะ ทำได้มากกว่า

HH: คือพีชคิดว่าเราได้รับอธิพลมาจากใครบ้างไหมครับ เช่นวงที่เราชอบหรือสิ่งรอบตัวหนังสือ เช่นวงที่เราชอบหรือสิ่งรอบตัวหนังสือ ภาพยนตร์ ฯลฯ
P: อิทธิพล ต้องนึกนานมากเลย 55555 มันตีกันในหัวยุ่งเหยิงมาก จริงๆผมชอบเรื่องประวัติศาสตร์นะ แต่แม่งไม่ค่อยออกมาในงานผมเท่าไหร่ และเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ครอบครัว คือหนัง หนังสือ เพลง ผมก็ฟังเรื่อยเลยล่ะ มันก็จะมีที่ชอบเป็นพักๆ ไป แล้วก็เปลี่ยน แต่ทางดนตรีถ้าให้พูด ผมชอบพวก experimental electronic เพราะมันมันจะนำเสนอความเป็นไปได้ของซาวด์ที่แตกต่างออกไป อยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าผมไม่ได้ทำแนว experimental electronic สะทีเดียวแต่ผมก็สนใจฟังพวกนี้เอาเรื่องไอเดียของการทำซาวด์ในเพลง มาปรับๆใช้
P: เช่นไอ้เสียงกระตุกๆหรือ Glitch แบบพวกแนว IDM มันทำยังไง ก็ลองๆคลำทำ เรียนรู้ในเนตไป พอมีโอกาสที่เหมาะจะใช้ในเพลงตัวเองบางเพลง ก็ได้เอามาทำลงไป เป็นเรื่องเทคนิคการนำเสนอ สำหรับดนตรี แต่สิ่งที่นำเสนอก็อีกเรื่อง
P: ไม่ได้คาดหวังให้ต้องชอบ แต่ถ้าฟังแล้วรู้สึกอะไรบางอย่างแล้วตั้งคำถามกับผม หรือตัวเอง หรืออะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็ดีเหมือนกัน 5555 แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้คิดอะไรอย่างนี้อย่างนั้นตายตัว จริงๆคาดหวังว่า เราจะได้คุยกันเป็นเพื่อนกัน 55555โคตรสับสนความคิดตัวเองเลยเนี่ย 5555 แค่ว่า เกิดฟังเพลงผมแล้วชอบ แล้วได้มาคุยกันเป็นเพื่อนกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็เยี่ยมเลยนะ ดีจริงๆ

HH: 555
P: ซึ่งเราอาจจะคิดไม่เหมือนกันก็ได้ แต่อย่างน้อยเราก็จะได้แลกเปลี่ยนกัน

HH: คือพีชสนใจในComment ของคนอื่นไหม 
P: สนใจนะ แต่ผมจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้แล้วแต่ว่ามันน่าสนใจสำหรับผมแค่ไหน ผมทำเพลง ในแง่นึงผมก็คาดหวังว่าผมจะได้เพื่อนใหม่ๆที่น่าจะมาแลกเปลี่ยนอะไรที่น่าสนใจด้วยกันเพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็สำรวจตัวเองไปด้วย ว่าความคิดช่วงนั้นช่วงนี้เราเปลี่ยนไปยังไง

HH: คือ พอพูดถึงเพื่อนใหม่ ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ พีชไปเล่นที่ญี่ปุ่นมาใช่ไหม เป็นไงบ้างครับ ในวงการดนตรีของที่อื่นใน อาเซี่ยน 
P: เป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มันทั้งกว้างและแคบไปในตัวด้วย เพราะว่าในความเป็นจริง บางคนในกลุ่มที่ทัวร์ด้วยกันก็เคยมาเล่นในไทยอย่าง นาตาลี ที่เป็นคนสิงคโปร์ก็อยู่วง SA ที่เคยมาเล่นที่ Zoo รู้จักกับเพื่อนบางคนในไทยอยู่แล้ว
หรือ Son X ก็มีงานแสดงซาวด์อยู่ที่ Museum Siam ด้วยช่วงที่ผมไป หรือ Chee Wai ก็เป็นเพื่อนกับ Koichi ด้วย พี่ยุ้ยเชลโล่ก็รู้จักกับทางกลุ่ม Far East ที่เป็นหัวหอกในการจัดงานนี้ เนื่องจากปีก่อนหน้าพี่ยุ้ยเชลโล่ก็เคยได้ร่วมงานนี้มาแล้ว

เพื่อนใหม่ๆตรงนั้นเป็นแรงผลักดันมากๆด้วยเหมือนกัน เพราะ ต่างคนต่างทำงานในแบบตัวเองอย่างตั้งใจ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นดนตรีที่อยู่ในกระแสหลักของประเทศเค้า และไม่ใช่แค่การมาพูดแลกเปลี่ยนกันแต่เรื่องดนตรี เวลาที่เราได้มานั่งทานอาหารร่วมกันช่วงค่ำหลังการแสดงเสร็จบางครั้งทำให้เราได้พูดคุยถึงเรื่องทัศนคติ ความเชื่อ การเมือง สังคม เรื่องทะลึ่ง เรื่องตลก เรื่องอะไรต่างๆเรื่องชีวิต กันด้วย ซึ่งน่าสนใจเพราะเรามาจากต่างวัฒนธรรมแต่ก็เป็นคนเอเชียร่วมกัน
P: ไม่รู้จะบรรยายยังไงเรียบเรียงออกมาทั้งหมดไม่ถูก 555555

HH: คือมันทำให้เราเปลี่ยนความคิดอะไรต่อการทำเพลงหรือมองโลกไหมครับ ลองยกตัวเองอย่างหน่อยได้ไหมครับ
P: มันทำให้รู้สึกว่า โลกนี้มีคนที่ชอบอะไรคล้ายๆกันที่จับกลุ่มเล็กๆกันอยู่หลายๆมุมในโลก ในความคิดผมนะ ซึ่งถ้าเรารู้ว่ามันมีตรงนี้อยู่เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบที่ว่าจะทำให้กระแสหลักของประเทศนั้นๆยอมรับก็ได้ แต่เราสามารถ เดินทางไปกับคนกลุ่มเล็กๆที่มีอยู่หลายๆพื้นที่ในโลกได้ ซึ่งถ้ารวมกันๆมันก็จะเยอะได้เหมือนกัน
P: ผมเลยรู้สึกว่าผมมีแรงที่จะทำงานแบบที่ผมชอบ และไม่จำเป็นต้องอิงกระแสหลักของสังคมไทยก็ได้ และให้งานที่ผมรัก พาผมเดินทางไปเจอเพื่อนที่น่าสนใจเอง จริงๆมันอาจจะคล้ายๆ การทำงานของคนทำงานศิลปะ ที่มีเรสสิเดนซี่ เพียงแต่ว่าผมมีดนตรีเป็นพาสปอตหลัก แต่ผมก็ไม่เคยหาข้อมูลนะว่าอย่างคนทำเพลงอิสระมีมีอะไรคล้ายๆ รูปแบบ ศิลปินพำนัก แบบอาร์ตติ๊สทั่วไปไหม เพราะมีรูปแบบการทำงานไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

HH: นั้นหมายความถึงว่าเราก็เริ่มรู้สึกว่าวงการเพลงไทยมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นหลอครับ
P: คือถ้าผมทำงานเขียนอะไรขึ้นมาผมก็จะ แปลอังกฤษอะไรงี้ให้มันด้วย 5555 เผื่อมีคนที่อื่นข้างนอกอยากรู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไรแม้ว่าภาษาต่างชาติผมจะไม่แข็งก็เถอะ ซึ่งผมก็ให้เพื่อนผมช่วยเหลืออยู่บ่อยๆในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่ามันมีทางเลือก และโลกนี้ก็แคบลงเอามากๆ เพลงผมไม่ว่าจะของลาลา หรือเพลินแพนเพิธก็พยายามที่จะแปลเนื้อเพลงเป็น อังกฤษและญี่ปุ่นเอาไว้ด้วย คืออย่างที่บอก ทำเพลงหาเพื่อน มันอาจไม่ใช่เพื่อนที่เป็นชาติใดชาติหนึ่งแต่เป็นมนุษย์ที่จะฟังเพลงผมนี่แหละ บางเพลงอาจมีเนื้อหรือไม่มีเนื้อก็ได้

HH: คือ พีชคิดยังไงกับวงการเพลงของไทยครับ หลังจากที่ไปที่อื่นมาบ้าง มันมีข้อดีและข้อเสียไหม
P: คือผมก็เคยได้ไปสัมผัสแต่ญี่ปุ่น 555 (ที่เกาหลีได้สัมผัสวงการหนังมากกว่า) ผมก็ไม่รู้หรอกว่าประเทศอื่นๆเค้าเป็นไง เพราะเอาจริงๆแล้ว ทัวร์ Asian Meeting 2016 ที่ผมไป ก็สนับสนุนโดยมูลนิธิ Japan Foundation ด้วย มีเรื่องของการผสมผสานทางวัฒนธรรม นำคนหลากเชื้อชาติในเอเชียมาเล่นร่วมกัน มันก็มีความกระตุ้นให้คนมาฟังและสนใจเยอะด้วย แต่ขณะเดียวกันคนที่สนใจตรงนั้นถ้าเกิดสนใจจริงๆ ก็พร้อมจะซัพพอร์ตสิ่งที่เขาชอบเต็มที่ นั่นทำให้เราขายแผ่นกันได้ 555 จริงๆ ผมก็ไม่รู้จะตัดสินยังไง ถ้าพูดถึงอะไรระดับมหัพภาคอย่างวงการเพลงไทย
P: แต่ถ้าเป็นวงการเพลงอินดี้ หรือ ศิลปินอิสระ ค่ายเล็กๆ ของไทย มันเป็นอะไรที่ยากที่จะอยู่รอดในทางการเงิน ถ้าคุณไม่ได้เป็นศิลปินอินดี้ที่ทำเพลงที่มีความป๊อปผสมอยู่มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะต้องมีงานอย่างอื่นทำเพื่อการเงิน ผมเลยคิดว่ามันต้องพาตัวเองออกไปนอกประเทศไทยให้ได้ด้วย เพื่อให้มันอยู่รอดได้มากขึ้น

HH: คืออย่างนี้พีชมองว่ามันเกิดจากตัวศิลปินหรือคนฟังครับ หรือว่าเกิดขึ้นเพราะ เราไม่สามารถสร้างกระแสคนดูได้
P: มันทุกปัจจัย แต่ส่วนหนึ่งคือ เราไม่ได้มีนายทุนที่มีความชอบเดียวกันกับศิลปินอิสระ หรือค่ายเล็กๆมากพอด้วยในความคิดผมนะ โดยเฉพาะศิลปินที่ไม่ได้มีกลิ่นป๊อปมากเท่าไหร่ ผมก็ไม่เชี่ยวชาญ 55555 ทำไมค่ายกระแสรองในอเมริกาอยู่ได้ เราก็ต้องมองอีกว่าอเมริกาแม่งใหญ่มากเหมือนกัน 55555 คนพูดภาษาเดียวกัน เยอะขนาดนั้น มีหลายรัฐอีก คนก็หลากหลายขึ้น
P: โอกาสที่มากขึ้นมันย่อมตามมา แต่การแข่งขันก็สูงตามด้วย สำหรับ ศิลปินอิสระ หรือค่ายเล็ก ตอนนี้ถ้าจะหวังว่าคนไทยต้องมาฟังอย่างนี้กันนะ มันก็อาจจะยัดเยียดเกินไปเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราขยายสิ่งนี้ออกไปข้างนอกมากขึ้นและทำให้คนไทยเห็นเองว่ามันน่าสนใจ มันก็อาจจะเริ่มต้นอะไรดีๆขึ้นมาก็ได้ ผมก็ไม่รู้ 5555

เจอกัน : https://www.facebook.com/events/230009767362179/

bottom of page